วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คิดมาก คิดน้อย ไม่คิดอะไรเลย

บางครั้ง ... เราคิดมาก

บางครั้ง ... เราคิดน้อย

และ

หลาย ๆ ครั้ง ... ที่เรากลับไม่คิดอะไรเลย
**********************************************

การหาตรงกลางสำหรับมนุษย์ปุถุชนทั่วไปอย่างเรา ๆ มันไม่ง่ายอย่างที่ธรรมะท่านสอน หรืออย่างที่ใคร ๆ พยายามบอกให้ทำ

จริง ๆ แล้ว ไม่ต้องมองหาตรงกลางหรอก แค่อย่าให้ข้างไหน ข้างหนึ่งมันเอียงมากผิดปกติก้พอ

มีสติในทุกครั้งที่คิด ไม่ว่าจะคิดมาก หรือคิดน้อย แม้กระทั่งมีสติทุกครั้งที่ไม่คิดอะไรเลย รู้ตัวว่าเรากำลังไม่คิด รู้ตัวว่าเราคิดเยอะไป และรู้ตัวเสมอว่า เรากำลังคิดน้อยไป

ตรวบใดที่โลกไม่หยุดหมุนให้เราวัดว่า จุดตรงกลางอยู่ตรงไหน ก็จงเปลี่ยนตรงกลางตามการหมุนของโลก

สติคือแก่น แก่นคือแกน

โลกหมุนกี่รอบ แกนโลกยังอยู่ที่เดิม

โลกหมุนกี่รอบ สติยังอยู่ที่เดิม

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คนที่น่ากลัวที่สุด แต่ก็น่าปรารถนามีไว้ใกล้ตัวที่สุด คือ คนที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้

คนที่น่ากลัวที่สุด แต่ก็น่าปรารถนามีไว้ใกล้ตัวที่สุด คือ คนที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้

**************************************

คนที่มุ่งมั่น เขาจะไม่ยอมแพ้อะไรงา่ย ๆ แม้เราหรือใครจะเอาชนะเขาได้ แต่เราจะไม่สามารถยินดีกับชัยชนะเราได้นาน เพราะคเขากำลังมุ่งมั่น และไล่กวด เพื่อเอาชนะเราคืนให้ได้

ดังนั้น คนที่มุ่งมั่นจึงเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด

แต่ ....

คนที่มุ่งมั่น จะทำให้เราไม่หยุดอยู่กับที่ ทุกคนที่ได้รับชัยชนะ มักจะใช้เวลาดอมดมความหอมหวานของชัยชนะ จนบางครั้่ง ไม่อยากที่จะสู้ต่อเพื่อชัยชนะที่สูงขึ้นไปอีก เพราะถือว่าประสบความสำเร็จไปก้าวหนึ่งแล้ว เมื่อไหร่ที่เราหยุด คนที่มุ่งมั่น จะก้าวล้ำหน้าเราไปสู่บันไดที่สูงขึ้น แต่มีคนหลายคน ปรารถนาให้มีคนที่มุ่งมั่นอยู่ใกล้ตัว เพราะเขาจะผลักดันให้เราไม่หยุดก้าว เพื่อรักษาชัยชนะไว้ให้ได้ตลอดไป ทันที่ที่เขาเริ่มหนึ่งก้าว เราต้องก้าวให้ได้มากกว่า คนที่มุ่งมั่นจึงเป็นทั้งแรงกระตุ้น แรงผลัก และแรงบันดาลใจชั้นดี

ดังนั้น หากคุณอยากประสบความสำเร็จเหนือความสำเร็จใด ๆ

คนที่มุ่งมั่น จึงเป็นคนที่น่าปรารถนามีไว้ใกล้ตัวที่สุด

แม้เขาจะน่ากลัวก็ตาม

ทั้งรัก ทั้งเกลียด จริง ๆ


วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทำเกินร้อย หรือ แค่พอดี

จงลงมือทำ "เกินร้อย" ในงานที่เราเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง


เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำงานที่เราเชี่ยวชาญ ทั้งจากการเรียนรู้จากทฤษฎีและประสบการณ์ ทำให้เรารู้มากและมีความสามารถล้นเหลือ เราจะมีความมั่นใจในงานนั้น ๆ มากเป็นพิเศษ

ใครถามอะไร ตอบได้
ใครขอให้อธิบายอะไร ไม่มีติดขัด 

ดังนั้น ถึงเวลาลงมือทำมัน จงทำให้เกินร้อย 

เพราะการทำไม่เต็มที่ นั่นหมายถึงเรากำลังดูถูกความสามารถของเรา เรากำลังขาดความมั่นใจ เรากำลังทำให้คนอื่นขาดศรัทธาที่เคยเชื่อใจว่า เรา รู้ดีที่สุด

แต่...

จงทำแค่ "พอดี" ในสิ่งที่เราไม่ชำนาญ


เมื่อไม่รู้ ก็อย่าได้เที่ยวอวดฉลาดว่ารู้มาก ความสามารถไม่มี ก็อย่าได้สร้างความมั่นใจอันไม่มีจริงให้กับคนอื่น 

เมื่อไม่รู้ ก็จงทำเพียงแค่ในส่วนที่รู้และมั่นใจในความรู้นั้น 

่ส่วนที่ไม่รู้ จงหาผู้ช่วยให้ความรู้และลงมือทำไปด้วยกัน

อึ่งอ่างที่อยากพองตัวให้เท่ากับวัว ก็ไม่ต่างกับคนที่ไม่รู้จักความพอดีของตัวเอง


ฉันใด ก็ ฉันนั้น

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

"ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลง"

"ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลง"

เป็นข้อคิดและคำเตือนที่ดีสำหรับหัวหน้างานทั้งมือใหม่ มือเก่าทุกคน มันใช่เลย!!

คนมีอำนาจ มักจะลืมตัวแทบจะทั้งนั้น บางคน อาจจะรู้ตัวเร็วหน่อย กลับตัวทัน ได้เป็นที่รักของลูกน้อง

บางคน ไม่รู้ตัว ว่ากำลังหลงระเริงกับอำนาจ จนต้องเกิดเหตุการณ์ให้ต้องสำนึก เช่นลูกน้องลาออกทั้งทีม ผลงานแผนกไม่ตรงเป้า มีแต่ถดถอยลงไป เพราะลุกน้องไม่มีใจอยากทำงานด้วย จากนั้น ถึงจะรู้สึกตัว ยังไม่สายก็ดี แต่ถ้าสายไปแล้ว ก็คงโดนปวดใจกันแน่นอน

บางคนอาจจะรู้ตัว แต่กูไม่สน กูมีอำนาจซะอย่าง ใครจะทำไม ใช้อำนาจทั้งผิดและถุก ถือว่าตนมีบางสิ่งในมือที่สามารถเจรจาต่อรองและยังคงนั่งครองเก้าอี้ในตำแหน่งนั้น ๆ ได้ ใครหือใครเกรียน เชิญ!! เจอแบบนี้ ไม่ใช่แค่ปวดใจ แต่เรียกว่าปวดทั้งตัว ปวดทั้งองค์กร

อำนาจ ใคร ๆ ก็อยากได้ แต่ถ้าอยากได้ทั้่งอำนาจและบารมีละก็ จำข้อคิดนี้ไว้เสมอ

"ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลง"




Photo: "ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลง"

เป็นข้อคิดและคำเตือนที่ดีสำหรับหัวหน้างานทั้งมือใหม่ มือเก่าทุกคน มันใช่เลย!!

คนมีอำนาจ มักจะลืมตัวแทบจะทั้งนั้น บางคน อาจจะรู้ตัวเร็วหน่อย กลับตัวทัน ได้เป็นที่รักของลูกน้อง

บางคน ไม่รู้ตัว ว่ากำลังหลงระเริงกับอำนาจ จนต้องเกิดเหตุการณ์ให้ต้องสำนึก เช่นลูกน้องลาออกทั้งทีม ผลงานแผนกไม่ตรงเป้า มีแต่ถดถอยลงไป เพราะลุกน้องไม่มีใจอยากทำงานด้วย จากนั้น ถึงจะรู้สึกตัว ยังไม่สายก็ดี แต่ถ้าสายไปแล้ว ก็คงโดนปวดใจกันแน่นอน 

บางคนอาจจะรู้ตัว แต่กูไม่สน กูมีอำนาจซะอย่าง ใครจะทำไม ใช้อำนาจทั้งผิดและถุก   ถือว่าตนมีบางสิ่งในมือที่สามารถเจรจาต่อรองและยังคงนั่งครองเก้าอี้ในตำแหน่งนั้น ๆ ได้ ใครหือใครเกรียน เชิญ!! เจอแบบนี้ ไม่ใช่แค่ปวดใจ แต่เรียกว่าปวดทั้งตัว ปวดทั้งองค์กร

อำนาจ ใคร ๆ ก็อยากได้ แต่ถ้าอยากได้ทั้่งอำนาจและบารมีละก็ จำข้อคิดนี้ไว้เสมอ

"ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลง"

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อย่าทำตัวเป็น "ลูกทาส" กลับชาติมาเกิด

อย่าทำตัวเป็น "ลูกทาส" กลับชาติมาเกิด

คนทำงาน ไม่ได้ถุกจ้างมาให้สงบปาก สงบคำ แต่ทุกคนได้รับเงินค้าจ้างเพื่อแลกเปลี่ยนกับการทำงานร่วมกันในบริษัทและผลักดันให้ธุรกิจของเจ้าของบริษัท อยู่รอดได้ มีเงินเดือนจ่ายให้กับเราทุกเดือน

และทุกสิ้นปี ได้โบนัสเป็นของขวัญ

คนทำงาน ไ
ม่ได้ถูกจ้างมาให้ ยอม ฉันยอมทุกอย่าง  แต่มีสิทธิ์ที่จะได้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระเสรี แค่อยู่ในขอบเขตของจริยธรรมและมโนธรรม

มิใช่ต่างคนต่างฟัดกัน เพื่อจะให้เอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งได้

โดยลืมถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เข้ามาอยุ่ในบริษัทนี้กันแต่ต้น


คนทำงาน ไม่ได้ถูกจ้างมาให้ อยู่ในความมืด กดอยู่ในตุ่ม เจอผี (หัวหน้า) ที วิ่งหนีอย่างกับในหนังเรื่อง บ้านผีปอบ

อะอะก็หนีลงตุ่ม เอะอะก็เอาสุ่มครอบหัว

คิดหรือว่าจะหลบพ้น ในเมื่ออย่างไร ก็ต้องทำงานร่วมกัน

ออกจากที่มืด มายืนในที่สว่างให้ใครต่อใครส่องเห็นสมองเราด้วย

อย่าหลบแต่ในตุ่มอย่างเดียว

คนทำงาน ไม่ได้ถูกจ้างมาให้เป็นลูกทาสใคร ทั้งที่ ร.5 ท่านได้ให้เลิกทาสมาตั้งนานแล้ว แต่ตัวเองยังทำตัวอย่างกับลูกทาสในเรือนเบี้ย

เขาสั่งอะไรก็ทำ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ พอกลับเรือนทาสที บ่นงุบงิบกับทาสคนอื่นซะงั้น

อย่าเอาโซ่ตรวนที่เขาถอดออกแล้วมาใส่ติดตัว

เพราะความเคยชิน หรือเพราะไม่กล้ายืนหยัดด้วยตัวเองเลย


อยากก้าวหน้า ก็ต้องปลดปล่อยตัวเองจากความเป็นทาส และโต้แย้ง หาเรื่องทะเลาะกับหัวหน้า

ให้ได้เจ็บ ๆ คัน ๆ พอเป็นกระสัย จะได้ไม่นิ่งอยู่กับที่

แต่อย่าได้ถึงขนาดเถียงกันเอาเป็นเอาตาย 


อย่างนั้น ลูกทาสก็เตรียมตัวตายได้เลย 


เพราะเจ้านาย ยังไง ก็ไม่มีวันตายก่อนทาสแน่นอน


- อยากก้าวหน้า ต้องหมั่นทะเลาะกับเจ้านาย -



วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

- 1 วินาที เปลี่ยนชีวิต -

คนเราจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จนี่

มันอยู่แค่ในวินาทีเดียวเองจริง ๆ นะ


อยากวิ่ง
ถ้าวินาทีที่คิด
ไม่คว้ารองเท้ามาสวม
ก็ไม่มีทางได้ออกไปวิ่ง


อยากเล่นกอล์ฟ
ถ้าวินาทีที่คิด
ไม่หยิบถุงกอล์ฟ หรือไม้กอล์ฟ แล้วขับรถไปสนามกอล์ฟ
ก็ไม่มีทางได้เล่นกอล์ฟ


อยากผอม
ถ้าวินาทีที่คิด
ไม่หยุดกินของอ้วน ไม่ออกกำลังกาย
ก็ไม่มีทางผอม


อยากเขียนหนังสือ
ถ้าวินาทีที่คิด
ไม่ลงมือพิมพ์หรือเขียน
ก็ไม่มีทางได้เขียนหนังสือ


อยากก้าวหน้า
ถ้าวินาทีที่คิด
ไม่ลงมือทำงาน หรือสร้างไอเดีย
ก็ไม่มีทางก้าวหน้า


อยากรวย
ถ้าวินาทีที่คิด
ไม่หาเงิน
ก็ไม่มีทางรวย


อยากมีความสุข
ถ้าวินาทีที่คิด
ไม่ปล่อยวางความทุกข์
ก็ไม่มีวันหาความสุขเจอ


อยากทำอะไร
ถ้าวินาทีที่คิด
ไม่ลงมือทำอะไร
ก็ไม่มีทางได้ทำอะไร


แล้วจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร


แค่วินาทีเดียวจริง ๆ

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

ความสวยงามของดอกไม้ในบ้าน กับแรงบันดาลใจ

ความสวยงาม คือสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างแรงบันดาลใจด้วยการกระตุ้นต่อมความสุขให้กับคนทุกเพศทุกวัยเสมอ
Beauty is a good tool to inspire and motivate people at all level 





วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

เชื่อหรือไม่ ชั่ววินาทีเดียว สามารถเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ได้เลย

เชื่อหรือไม่ ชั่ววินาทีเดียว สามารถเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ได้เลย

เมื่อวานเย็น ถึงช่วงเวลาที่ต้องไปวิ่ง แต่ความขี้เกียจ เกือบทำให้เราไม่ได้รักษาสุขภาพอย่างที่เราตั้งใจ แค่ชั่ววินาทีเดียว ที่เราเอาชนะความขี้เกียจได้ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบกุญแจรถ ขับไปสวนสาธารณะ แล้วเราก็ได้วิ่งสมตามที่เราตั้งใจ



ในบางจังหวะที่เราต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ความขี้เกียจอาจทำให้เราไม่ได้ทำมัน เช่น ตั้งใจจะออกกำลังกาย ถึงเวลาที่ต้องไปยิม ต้องไปวิ่ง ต้องไปแอโรบิก แต่เพราะความขี้เกียจ ทำให้เราไม่ไปสักที พอนานเข้า ความขี้เกียจมันก็จะเกาะกินอยู่กับเรา จนเราหมดความตั้งใจไปเลยก็ได้ อีกอย่าง เราก็คงคิดด้วยแหละว่า เอาน่า วันนี้ไม่ได้ไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเอาใหม่ แล้วถ้าพรุ่งนี้เราขี้เกียจอีกล่ะ เราจะได้ไปออกกำลังกายไหม

เหมือนเวลาที่เราทำงาน ยังไม่เดดเลน์ กูก็ยังไม่ทำ เพราะความขี้เกียจและก็ด้วยความที่คิดว่า ไม่เป็นไร ยังเหลือเวลาอีกเยอะ เดี๋ยวค่อยทำก็ได้ สุดท้าย ก็ต้องมาปั่นกันแทบตายตอนวันสุดท้าย ผลงานที่ออกมาก้ไม่ดีพอ ไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบหลาย ๆ รอบ ไม่มีเวลาให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ (แค่ส่งให้ทัน ก็บุญหัวแล้ว) พอสิ้นปี ก็มาบ่นว่า ไม่ได้ขึ้นเงินเดือน ตำแหน่งไม่เลื่อน ทำไมล่ะ ทำไม แหม่ะ ก็แค่ย้อนเวลากลับไปดู เราก็จะได้คำตอบชัดเจนเลย

แต่เชื่อหรือไม่ ว่าแค่ชั่ววินาทีเดียวที่เรารู้สึกว่าเรากำลังขี้เกียจ แค่เราขยับตัว ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ต้องทำ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า  เพื่อไปออกกำลังกาย ลุกขึ้นมาหยิบงานที่ต้องทำส่ง ลุกขึ้นมาเดินไปจัดการงานที่คั่งค้างไว้ ลุกขึ้นไปตามงานที่เพื่อน

วินาทีที่เราแค่ลุกขึ้น เราจะได้ทำในสิ่งที่เราจะต้องทำ

แค่ชั่ววินาทีเดียวจริงๆ


ไม่เชื่อ ลองดูสิคะ

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

KIT คิด หลักการทำงานจากสมเด็จพระบรมราชชนก

"สมเด็จพระบรมราชชนกทรงสั่งสอนนักเรียนอยู่เสมอคือ หลักของการทำงาน สรุปได้ว่าต้องมี

1.ความรู้ในสิ่งที่พึงกระทำ (Knowledge) 

2.ต้องมีไหวพริบในการกระทำ (Intelligence)

3.ต้องมีความละเอียดถี่ถ้วน (Thoroughness)

เพื่อให้จำง่ายให้รวมอักษรตัวแรกว่า KIT หรือ คิด คือการเตือนให้ใช้ความคิด"

ข้อคิดดีๆที่ได้จากหนังสือพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจสมเด็จย่า ซื้อหาได้จากพระตำหนักดอยตุง เชียงราย 







สำหรับคนทำงาน หากต้องการประสบความสำเร็จด้วยการนำหลักการที่ท่านได้ทรงสั่งสอนไว้ ก็จะเป็นการดีมาก โดยที่

1. ต้องเชี่ยวชาญในสาขา ตำแหน่ง แผนก หรืองานที่ตนรับผิดชอบให้ดี มิใช่การทำงานแบบขอไปที เข้าเช้า ออกเย็น รอรับเงินเดือนอย่างเดียวไม่ได้ ความเชี่ยวชาญที่ว่านี้ ก็หมายรวมถึงการที่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ให้กับผู้อื่นได้ ทั้งสอนลูกน้องให้ทำงานเป็น มอบหมายงานให้ลูกน้องไปทำต่อได้อย่างไม่ติดขัด หรือแม้แต่การรายงานผลการทำงานของเรา้เองให้กับหัวหน้า่งานได้รับทราบ และเข้าใจ เมื่อหัวหน้านำไปรายงานต่อ หรือขยายผลงานของเราให้เป็นโครงการที่ส่งผลดีต่อการเติบโตขององค์กร ก็สามารถทำได้ทันที และที่สุด ใคร ๆ ก็จะต่างชื่นชมในสิ่งที่เราทำอย่างเข้าใจ มิใช่การชื่นชมแค่ผิวเผิน 

2. นอกจากความฉลาดแล้ว ก็ต้องมีความเฉลียวด้วย ลงมือทำสิ่งใด ควรทำอย่างรอบคอบ คิดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ คิดให้รอบด้าน เมื่อคิดแล้วลงมือทำ หากเจออุปสรรค ก็สามารถวิเคราะห์ ตรึกตรองปัญหา และหาทางออกได้อย่างไม่ยากเย็น แม้จะไม่สามารถแก้ได้ในครั้งแรก แต่ไม่หยุดหาคำตอบ มุ่งมั่น ตั้งใจที่จะศึกษาอย่างละเอียด เข้าใจในปัญหา รับรู้กระบวนการตั้งแต่ต้นจนสุดท้ายอย่างถ่องแท้ ท้ายที่สุด คำตอบจะอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน

3. เวลาลงมือทำงาน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ยากหรือง่าย ไม่ควรทำแบบผักชีโรยหน้า แต่ต้องทำงานอย่างจริงจัง ทำความเข้าใจในงานในทุุกรายละเอียด ไม่มองข้ามจุดใดจุดหนึ่งไปอย่างประมาท หากไม่แน่ใจ ควรเขียนรายการออกมา วิเคราะห์แต่ละข้อ และประเมินความเป็นไปได้ ความละเอียดนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของตัวงานเท่านั้น แต่หมายถึงความละเอียดกับการใส่ใจต่อคนรอบข้างที่อาจได้รับผลกระทบต่องานที่ทำ ทั้งด้านกายภาพและจิตใจ คิดสะระตะไว้ก่อนว่า จะมีผู้ใดได้รับผลกระทบบ้าง หากต้องแจ้งให้เขารับทราบ ควรทำทันที หากต้องการความร่วมมือ ควรขอร้องอย่างจริงใจพร้อมให้ข้อมูลแก่เขาให้ครบถ้วน ไม่ควรกั๊กไว้ประหนึ่งเกรงจะถุกฉกชิงผลงานไป หากมีความจริงใจต่อกันแล้วละก็ ไม่ว่างานไหน ๆ ก็สำเร็จไปด้วยความสาัมัคคีร่วมกันแน่นอน

คิดเสมอ ก่อนลงมือทำ

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

จงเป็นผู้นำของผู้นำ มิใช่แค่ผู้นำของผู้ตาม


จงเป็น...

ผู้นำของผู้นำ

มิใช่แค่..
ผู้นำของผู้ตาม
จงเป็นผู้นำของผู้นำ มิใช่แค่ ผู้นำของผู้ตาม
ใคร ๆ ก็เป็นผู้นำได้ เพียงแค่คุณฝึกและหมั่นสร้างภาวะผู้นำให้เกิดกับตัวเรา ในหลายตำรา ในหลายอาจารย์ และในหลายสำนัก ต่างก็บอกเหมือนกัน

แต่การจะเป็นผู้นำให้ยืนยาว และเป็นผู้นำเหนือผู้นำนั้น ใคร ๆ ก็ทำ ได้จริงหรือ เพราะมันต้อง กล้า ซ่า บ้า และท้าทาย กว่าจะขึ้นมายืนล้ำหน้าทุกคน
สตีฟ จ๊อปส์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากคนหนึ่ง Nokia เคยเป็นผู้นำที่คิดเพียงมีผู้ตาม ทำให้ผู้คนหันมาใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งถือว่าทำให้เราเปลี่ยนลักษณะการดำเนินชีวิต แต่ Nokia ก็พอใจเพียงแค่นั้น และไม่ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ อีกเลย แต่จ๊อปส์ไม่คิดอย่างนั้น เขาต้องการเป็นผู้นำของผู้นำ ด้วยการโค่น Nokia และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ โลกใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว กับเทคโนโลยีที่เกือบครึ่งของประชากรโลกต้องใช้โทรศัพท์เพื่อ social network มิใช่เพียงโทรเข้า โทรออก และกลายเป็นตระกูล "i-" fever รวมถึงสร้างผู้นำของผู้ตามให้เกิดขึ้นใหม่ คือ Samsung
เมื่อจ๊อปส์เสียชีวิต Apple ก็ไม่สามารถรักษาความเป็นผู้นำของผู้นำได้ และกลับไปคืนสู่ความเป็นผู้นำของผู้ตาม เหมือนที่ Nokia เคยเป็น

ผู้นำของผู้นำจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยาก (ถ้ายาก คงไม่มีใครทำได้)


ใคร ๆ ก็เป็นที่หนึ่งได้ แต่การจะรักษาความเป็นที่หนึ่งไว้ตลอดไปนี่สิ ยาก

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

จะทำงานให้สำเร็จ จงอย่ากลัวเจ็บ


จะทำงานให้สำเร็จ

จงอย่ากลัวเจ็บ

ในทุกย่างก้าวของการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา และกำลังจะผ่านไป เราทุกคนล้วนแล้วแต่เคยบาดเจ็บกับสิ่งที่เราได้ลงมือทำ

เริ่มแต่

ย้อนกลับไปสมัยที่เรายังเด็ก กว่าเราจะเริ่มยืนตั้งไข่ได้ เราก็ล้มแหมะ ก้นลงพื้นไม่รู้กี่รอบ เหมือนเพลงที่ได้ยินผู้ใหญ่ร้องยามเราเป็นเด็กว่า

“ตั้งไข่ล้ม ต้มไข่กิน ไข่ตกดิน เก็บกินไม่ได้”

เปรียบเทียบเด็กทารกที่กำลังหัดยืน หัดเดิน ล้มหน้าคว่ำกันกี่รอบ ร้องไห้งอแงด้วยความเจ็บจากการล้มสักกี่ครั้ง นับไม่ถ้วนกันเลยทีเดียว

แต่สุดท้าย .. เราก็ยืนได้ เดินได้ด้วยขาของเรา ไม่ต้องพึ่งรถหัดเด็กเดิน ไม่ต้องจับมือพ่อแม่ ยามที่กลัวหกล้ม

หรือแม้แต่การหัดเขียนตัวหนังสือ พ่อแม่ต้องคอยจับมือเรา ให้ลากเส้นไปตามที่มือพ่อแม่จะพาไป จากนั้นก็ลากตามรอยจุด จนเขียนเองได้

แล้วเราเคยมีสักครั้งไหมคะ ที่จะหยุดคิดว่า เราคงเดินไม่ได้ เขียนไม่ได้

หรือมีใครสักคนหรือไม่ ที่ยืน เดิน เขียนได้โดยไม่เริ่มนับหนึ่ง เกิดมาจากท้องแม่ คุณหมอทำคลอดเสร็จ เดินได้ หรือจับปากกาเขียนชื่อตัวเองเลย

ถ้าใครตอบว่ามี คงต้องตามให้โทรทัศน์ไปถ่ายออกรายการ คนบ้าหวยคงไปจุดธุปบูชาขอเลขกันจ้าละหวั่นละทีนี้

อีกตัวอย่างหนึ่งที่รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดก่อนความสำเร็จ นั่นก็คือการหัดถีบจักรยาน เราล้มไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กว่าเราจะทำให้ยกเท้าขึ้นจากพื้น ปั่นจักรยานให้มันไปข้างหน้า ประคองสองล้อพร้อมน้ำหนักตัวเราให้ไปข้างหน้าและทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ล้ม เข่าและข้อศอก ถลอกปอกเปิก จนบางคน เป็นรอยแผลเป็นจารึกถึงความพยายามจนสำเร็จอยู่ถึงทุกวันนี้

ความสำเร็จไม่ได้ได้มาง่าย ๆ แต่ก็ไม่ยากที่จะไขว่คว้า แค่เพียงแต่ เราไม่กลัวที่จะเริ่มและล้ม จำไว้เสมอว่า
 
 จะทำงานให้สำเร็จ จงอย่ากลัวเจ็บ

วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ลงมือทำ ทำได้ และทำสำเร็จ


จงลงมือทำเมื่อแน่ใจจริง ๆ ว่า

สิ่งนั้น คุ้มค่าที่จะทำ และ

สามารถจะทำได้

และ เมื่อลงมือทำแล้ว

ต้อง สำเร็จ

เคยนับไหมคะ ว่าในช่วงชีวิตการทำงาน มีกี่ครั้งที่เราต้องรับปากและลงมือทำงานที่เราไม่ถนัด หรือไม่มั่นใจว่าเราจะทำได้ หรือรู้ว่าทำไม่ได้แน่ แต่เรากลับไม่กล้าปฏิเสธงานนั้นไป ด้วยเหตุผลร้อยแปด พร้อมกับคำว่า “ได้ค่ะ” “ได้ครับ” หลุดออกมาจากปากเราแบบไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน

เป็นเรื่องปกติค่ะ โดยเฉพาะในหมู่คนไทย ที่มักจะไม่กล้าบอกปัดงานนั้น ๆ เหตุผลหลักมีอยู่แค่สองอย่าง คือ

1.       ความเกรงใจ ไม่ว่าจะเกรงใจเจ้านาย เกรงใจเพื่อนร่วมงาน เกรงใจลูกค้า เป็นต้น ดูเหมือนคำว่า “เกรงใจ” จะกลายเป็นพฤติกรรมประจำชาติของคนไทยในที่ทำงานไปแล้ว (แต่พอออกนอกที่ทำงานเมื่อไหร่ ทำไมความเกรงใจหายไปหมดก็ไม่รู้ ดูได้จากการใช้สิ่งของหรือสถานที่สาธารณะร่วมกัน ตามหมู่บ้านขนาดเล็กถึงกลาง พบเห็นจากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นต้น) แต่ตัวเกรงใจนี่ มักเจอประเภทเกรงใจกับคนที่เรารัก เราชอบ หรือคนที่มีผลได้ผลเสียกับเรา แต่กลับขาดความเกรงใจและปฏิเสธทันควันกับคนที่เราไม่ชอบ ไม่อยากร่วมงานด้วย หรือเราไม่ได้ประโยชน์อะไร ทั้ง ๆ ที่งานนั้น มีความสำคัญกับบริษัท

2.       ความกลัว สิ่งที่น่ากลัวอันเป็นสาเหตุต่อเนื่องจากความเกรงใจ เพราะความกลัว เป็นสารตั้งต้นของความเกรงใจ เป็นปีศาจของการไม่ประสบความสำเร็จ บางคนกลัวว่าถ้าปฏิเสธเจ้านายไปแล้ว เจ้านายจะไม่สนับสนุน บางคนกลัวว่า ปฏิเสธไป จะเป็นการขัดใจเจ้านายแล้วจะมีผลกับการประเมินผลการทำงาน หรือโดนเจ้านายกลั่นแกล้งให้งานหนักในภายหลัง บางคนกลัวเพื่อนร่วมงานไม่คบหาสมาคมแค่เพราะไม่ช่วยทำงานนั้นให้ บางคนกลัวสารพัด ไม่น่าเชื่อที่หลายคนไม่เคยกลัวว่าหากทำไปแล้วทำไม่ได้ หรือทำไปแล้วล้มเลิกกลางคันจะก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ หรือไม่

ไม่ผิดหรอกนะคะ หากสองสิ่งนี้ เป็นเรื่องจริงกับชีวิตคุณซึ่งเป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดาคนหนึ่ง ที่มักจะรับปากทำงานไปก่อน แล้วทำได้หรือทำไม่ได้ ค่อยว่ากันทีหลัง เลิกกลางคันก็คงไม่เป็นไร (มั๊ง)

แต่มิใช่กับคนที่ต้องการก้าวหน้าในอาชีพไปสู่ตำแหน่งผู้บริหารในอนาคต

เพราะคนที่จะเป็นใหญ่ในวันข้างหน้า หลักอย่างหนึ่งคือการต้องมีภาวะผู้นำ และหนึ่งในกฏของผู้นำก็คือ

“จงลงมือทำเมื่อแน่ใจจริง ๆ ว่าสิ่งนั้นคุ้มค่าที่จะทำ และสามารถจะทำได้ และเมื่อลงมือทำแล้ว  ต้องสำเร็จ”

****************************************************************************

อะไรที่เกินความสามารถ คนที่จะเป็นผู้นำที่ดีและยิ่งใหญ่ เขาจะปฏิเสธและไม่ทำค่ะ เพราะเขาทราบว่า โอกาสประสบความสำเร็จน้อยหรือไม่มีเลย หากทำลงไป แล้วต้องล้มเลิกระหว่างทาง ความเสียหายจะเกิดขึ้นมากกว่าการปฏิเสธไม่ทำแต่เสียทีแรก เสียทั้งเรื่องเวลาและทรัพยากร หรืออาจจะบั่นทอนกำลังใจคุณไปเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสัดส่วนงานที่ไม่สำเร็จต่องานสำเร็จมีมาก

เมื่อใครก็ตาม ได้ขอร้องให้คุณช่วยงานหรือรับงานไปทำ สิ่งแรกที่คุณควรทำคือ พิจารณาตัวคุณเองว่า คุณทำได้หรือทำไม่ได้ มั่นใจแค่ไหนว่าคุณทำได้ หากประสบพบปัญหาระหว่างทาง คุณจะมีวิธีแก้ปัญหา(คร่าวๆ) หรือไม่ จากนั้นก็พิจารณาตัวงาน ว่างานที่จะทำนั้น เป็นไปได้หรือไม่ในทางปฏิบัติ หรือมันเป็นเพียงแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเจ้านายเท่านั้น

หากไปเจอลูกตื้อมาก ๆ เข้า อย่าปากหนักค่ะ ถามขอข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ ยิ่งกว่ากับการตัดสินใจของคุณ เช่น เป้าหมาย ผู้ร่วมงาน ระยะเวลาของงานนั้น กำหนดส่ง และความคาดหวัง

จากนั้น ถ้าคุณพิจารณาทุกสิ่งอย่างที่มีแล้ว ตอบตัวเองได้ว่า งานนี้ ฉันทำไม่ได้แน่ ก็ขอให้ปฏิเสธกลับไปพร้อมคำอธิบายว่าเหตุใดคุณจึงต้องปฏิเสธ อย่าเล่นตอบแค่ว่า “ไม่เอาอ่ะ ผม/หนู/ดิฉัน ทำไม่ได้ ให้คนอื่นทำเหอะ ความสามารถผมไม่ถึง” ตอบแบบนี้เมื่อไหร่ คุณเป็นได้เจอลูกบังคับกลับมาแน่นอน

คนทำงานเก่ง เป็นผู้นำคนอื่นได้ ต้องหัดวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลและความจริง

หากคุณคิดว่าคุณทำได้ รับปากทำงานนั้นเถอะค่ะ ลุยไปเลย มั่นใจแล้ว ทำให้สุด

และเมื่อทำแล้ว จงทำมันให้สำเร็จ อย่าท้อถอย และไม่ล้มเลิกกลางคัน

“ท้อได้ แต่อย่าถอย.....ถอยได้ แต่อย่าถอน”

จำไว้เสมอค่ะ ว่า...

“เมื่อลงมือทำ จงมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จเท่านั้น”

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กำจัดความเฉื่อย ลดแรงต้าน ตัวหารความสำเร็จ


แรงเฉื่อย  = แรงต้าน

ความเฉื่อยในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน

คือแรงต้าน..

ไม่ให้เราพบความสำเร็จ..

ในวันต่อไป

ไม่น่าแปลกใจหรอก หากพบว่าในบางวัน เรารู้สึกไม่อยากทำอะไรเลย ไม่กระตือรือร้น ความคิดไม่แล่น สมองไม่ไป ใจอยู่กับที่ มีแต่ความว่างแปล่าในตัวเอง

เพราะนั่นอาจเป็นการบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าของร่างกาย ที่คุณใช้งานหนักมานาน ร่างกายจึงเรียกร้องต้องการการพักผ่อนและสร้างพลังเพื่อการทำงานในวันต่อไป

แต่หากว่าเป็นเพราะความท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ แล้วละก็ นั่นเป็นสัญญานที่ไม่สู้จะดีนัก ถ้าคุณกำลังลงมือทำอะไรอยู่และต้องการให้งานนั้นสำเร็จอย่างที่คุณต้องการ เพราะความเฉื่อยนั้น มันจะกลายเป็นแรงต้านให้เราพบความสำเร็จช้าลงหรือไม่พบมันเลย

กำจัดความเฉื่อย เพื่อลดแรงต้าน ด้วยวิธีการง่ายไม่กี่ข้อ ดังนี้

1.       ลองสำรวจความต้องการในความสำเร็จของเราดูสิคะ ว่ายังอยู่หรือเปล่า เรายังอยากประสบความสำเร็จอยู่หรือไม่

2.       ตรวจดูว่า ความเฉื่อยที่เกิดขึ้น มันเกิดจากอะไร มันมาจากไหน มาได้อย่างไร เมื่อเจอแล้ว เราจะได้หลีกเลี่ยงหรือป้องกันมิให้มันกลับมาอีก

3.       หาแรงกระตุ้นเพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจให้งานนั้นสำเร็จ เราเคยได้รับแรงบันดาลใจจากอะไรแล้วมันทำหน้าที่ได้ดี เช่น อ่านหนังสือของคนที่เราชื่นชม มองหาความสำเร็จของคนที่เราต้องการเอาเป็นแบบอย่าง สิ่งที่เราจะได้เมื่อเราประสบความสำเร็จ นำสิ่งเหล่านั้น มากระตุ้นเราอีกครั้ง

4.       ทำกิจกรรมอื่นที่ทำให้เราผ่อนคลาย สนุก และมีความสุขกับมัน เช่น เล่นกีฬา การเสียเหงื่อจะทำให้ร่างกายเราผ่อนคลายความตึงเครียด เม้ามอยกับเพื่อนฝูง จะทำให้เราได้เหมือนระบาย นอกจากนั้น เราอาจได้แรงบันดาลใจหรือไอเดียใหม่ ๆ จากเพื่อนมาต่อยอดงานของเราได้อีก ออกเดินทางไปยังสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เช่นเปลี่ยนที่ทานข้าว เปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน เดินช้อปปิ้งตลาดนัดอื่น เป็นต้น ทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำเดิม จะช่วยจุดไฟในตัวเราอีกครั้ง

5.       ลงมือทำงานนั้นต่อ แต่ไม่ต้องคาดหวังถึงจำนวนงานที่ต้องเสร็จ แม้เพียงสัก 1 เปอร์เซนต์ ที่ทำต่อ ก็เท่ากับอย่างน้อย ได้ลดแรงต้านไป 1 เปอร์เซนต์เช่นกัน

ง่าย ๆ แค่นี้เอง เราก็จะสามารถกำจัดความเฉื่อยในตัวเราออกไปได้ อย่าได้กังวลหรือตกใจไปค่ะ หากพบว่า ความเฉื่อยมันเข้ามาเกาะกินแรงบันดาลใจของคุณ หาทางกำจัดมันซะ อย่าทิ้งมันไว้ให้นาน ยิ่งละเลยไม่กำจัดมันนานวันเข้า ความเฉื่อยจะขยายมากขึ้นเหมือนหินปูนที่ติดอยู่กับเราถ้าเราไม่ขูดมันทิ้ง มันจะเกาะกิน และทำลายเข้าไปถึงเส้นประสาทเราได้เลย

กำจัดความเฉื่อยได้ คุณจะลดแรงต้าน และสุดท้าย คุณจะพบพานความสำเร็จในงานนั้นอย่างแน่นอน